แพทย์ สธ.ยืนยัน ไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่น “รุนแรง”แน่นอนในอนาคต

แพทย์ สธ.ยืนยัน ไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่น “รุนแรง”แน่นอนในอนาคต
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ประเทศไทยขณะนี้มีจำนวนผู้ป่วยยืนยันใหม่เพิ่มอีก 7 ราย รวมจำนวนสะสม 32 ราย โดยในจำนวนผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อทั้งหมดแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านเพิ่ม 1 รายรวมเป็น 10 ราย และยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล จำนวน 22 ราย โดยจำนวน 7 รายที่เพิ่มใหม่นั้นเป็นชาวจีน 4 ราย คนไทย 3 ราย กรณีของคนไทย 3 รายใหม่นั้น ประกอบด้วย คนไทยกลับบ้านโดยทางการไทยไปรับกลับมาจากเมืองอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ มี 1 ราย และอีก 2 รายคือ คนไทย 1 รายที่ประกอบอาชีพใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูงกับผู้ป่วยเองอีก 1 ราย และกรณีจำนวนชาวจีนที่เพิ่มใหม่ 4 รายคือ 3 รายแรกเป็นครอบครัวเดียวกันโดยเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูงกับผู้ป่วยเดิมที่รักษาตัวอยู่ใน โรงพยาบาลอยู่ก่อนแล้ว และอีก 1 รายใหม่ เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนจากเมืองที่เป็นพื้นที่เสี่ยงโดยเดินทางมาประเทศไทยก่อนมีการประกาศปิดเมือง และไม่สามารถกลับประเทศได้ ต่อมาพบว่ามีอาการป่วย จึงปฏิบัติตามบัตรคำแนะนำการปฏิบัติตนของนักท่องเที่ยวที่ได้รับแจกที่สนามบิน จึงเดินทางมา รพ.เพื่อรักษาตัว
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 4 ของการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยในอันดับที่ 1 คือ ประเทศจีน อันดับที่ 2 คือญี่ปุ่นมีผู้ป่วยสะสม 89 ราย อันดับที่ 3 คือสิงคโปร์ มีผู้ป่วยสะสม 33 ราย ซึ่งประเทศไทยขณะนี้จำนวนผู้ป่วยที่แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านเพิ่ม 1 รายคือผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร รวมมีผู้ป่วยหายดีและกลับบ้านแล้วในประเทศไทย 10 ราย ส่วนในรายที่เป็นคนขับรถโดยสารไม่ประจำทางอายุ 70 ปีที่รักษาตัวอยู่ในสถาบันบำราศฯ โดยผู้ป่วยรายนี้มีอาการของวัณโรคร่วมด้วย ขณะนี้อาการยังทรงตัว แพทย์ยังคงดูแลใกล้ชิดอย่างเต็มที่
มาตรการต่างๆ ที่เราดำเนินการไม่ว่าจะเป็นที่สนามบิน เราดำเนินการทั้งในขาเข้าและเริ่มดำเนินการมาตรการขาออกด้วยเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันเพิ่มความเข้มแข็งของตัวมาตรการในระดับโรงพยาบาลทั่วประเทศ ทุกสังกัด โดยได้รับความร่วมมือไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของทางมหาวิทยาลัย หรือ โรงพยาบาลที่อยู่สังกัดของกองทัพ และมาตรการที่เข้มข้นของการคัดกรองในพื้นที่ชุมชนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว คนที่เราพบจริงๆ ไม่ได้อยู่แต่ในกรุงเทพฯ เพียงอย่างเดียว ก็จะมีทางส่วนภูมิภาคและแหล่งท่องเที่ยวด้วย หากมีอาการก็เดินทางไปรพ.ใกล้เคียง นพ.สุวรรณชัย กล่าว
นพ.สุเทพ กล่าวว่า คนไทยกลับบ้านจะแบ่งการพักในบ้านพักเพื่อกักโรคจำนวน 134 คนเป็น ชาย 30 คนและหญิง 104 คน เป็นอาคารเรือนนอนแยกกัน โดยบ้าน 1 หลังจะพัก 2 คน ในจำนวนผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อคนไทย 3 รายใหม่นั้น มี 1 รายเป็นผู้ป่วยเพศชาย อายุ 25 ปี มีอาชีพไกด์นำเที่ยว และได้พานักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวที่เมืองอู่ฮั่น โดยทางการไทยได้ไปรับตัวกลับมาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ผ่านการคัดกรองทั้งก่อนขึ้นเครื่องและลงเครื่องนั้น แต่เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ได้ตรวจสุขภาพของทุกคนเพื่อดูอาการซึ่งยังไม่พบอาการป่วย แต่ต่อมาผู้ป่วยรายนี้มีน้ำมูกเล็กน้อย ทำให้เป็นผู้ป่วยเข้าเกณฑ์การสอบสวนเบื้องต้น วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ช่วงเวลาประมาณ 00.00 น. ได้ส่งตัวเข้าทำการรักษาที่ รพ.ชลบุรี และตรวจซ้ำช่วงเช้าผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการ(แล็บ)ออกมาเป็นบวก ซึ่งหมายความว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ในเบื้องต้นอาการของร่างกายปกติดี แข็งแรง ส่วนผลของการเอกซเรย์ปอด ผลเลือด อุณหภูมิร่างกาย ความดัน ชีพจรเป็นปกติ เนื่องจากเป็นการพักรวมกัน จึงต้องส่งตัวเพื่อนร่วมห้องเป็นเพศชายไปตรวจผลแล็บที่ รพ.สัตหีบ เบื้องต้นไม่มีอาการป่วย ผลจากแล็บไม่พบเชื้อการติดเชื้อไวรัส คาดว่าจะให้ออกจาก รพ.และกลับเข้าไปอยู่ในบ้านพักได้
เมื่อถามว่าในกรณีของเพื่อนร่วมห้องกับผู้ป่วยที่ยืนยันติดเชื้อ หากกลับไปอยู่ในห้องพักแล้วจะต้องเริ่มนับระยะของการเฝ้าระวังใหม่หรือไม่ อย่างไร นพ.สุรรณชัย กล่าวว่า ตามหลักการระยะฟักตัวคือ 2-7 วัน แต่ให้พักรวม 14 วันนั้นเป็นการเผื่อไว้ 2 เท่า รวมถึงการทำมาตรการจะแนะนำให้ผู้ที่อยู่รวมกันมีการป้องกันตัวเองโดยการสวมใส่หน้ากากอนามัย แยกอุปกรณ์เครื่องใช้ ล้างมือบ่อยๆ และไม่ให้จับกลุ่มรวมกัน ซึ่งเป็นมาตรการที่ทำความเข้าใจกับทุกคนแล้ว
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวว่า กล่าวได้ 2 ทางคือ 1.ทางการแพทย์ถือหลักคือ สัมผัสสุดท้าย เช่น สัมผัสสุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยรายนี้จะแยกออกไปเขาได้อยู่รวมกันมา 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 ถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นจำนวน 2 วันที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกัน ดังนั้นผู้ที่อยู่ร่วมห้องจะต้องเฝ้าดูอาการเพิ่มไปอีกจาก 14 เป็น 16 วัน และ 2.ทางข้อคิดเห็น ถึงแม้จะพบเชื้อในผู้ป่วยรายนี้ แต่มีอาการเพียงเล็กน้อย ไม่มีไข้ ซึ่งในปกติการติดเชื้อไวรัสที่มีหลายโรคอาจเกิดจากการติดโดยไม่แสดงอาการ เช่น ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ร้อยละ20 และไข้เลือดออกร้อยละ 80 ไม่แสดงอาการ จึงต้องแยกผู้ป่วยรายนี้ออกไป เพราะเมื่อพบเชื้อแล้วก็ถือว่าเป็นผู้ที่ติดเชื้อไวรัส โดยทางการจีนได้มีการรวบรวมและรายงานว่าเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประมาณร้อยละ 70-75 มีอาการน้อย และร้อยละ 20 มีอาการปานกลาง และมีเพียงร้อยละ 5 ที่มีอาการรุนแรง
หากคนเราติดเชื้อแล้วแสดงอาการทุกคน เราก็คงตายก่อนแน่ ดังนั้นเป็นธรรมชาติที่ปรับให้คนเรา สามารถต่อสู้ได้ ยิ่งเป็นหนุ่มสาวไม่มีโรคประจำตัว แข็งแรงดี ส่วนใหญ่อาการน้อย ถึงเป็นประเด็นว่าทำไมคนที่เราแยกออกไปตอนเจอเชื้อไวรัส เมื่อไหร่เจอเชื้อไวรัสเราถือว่าติดเชื้อ แต่ติดเชื้อมีอาการหรือไม่มีอาการนี้คืออีกเรื่อง อาการมากอาการน้อยก็อีกเรื่องหนึ่ง รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าว และว่า ในกรณีที่บุคลากรทางการแพทย์ของจีนใส่ชุดปลอดเชื้อหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าชุดอวกาศ อยู่ในห้องไอซียูมีอุปกรณ์มากกว่าของประเทศไทย ในกรณีนี้เราจะต้องดูวัตถุประสงค์เป็นหลัก เนื่องจากประเทศจีนเริ่มรู้ว่าเป็นปัญหาในช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการหนัก ดังนั้นวัตถุประสงค์ของประเทศจีนคือลดการเสียชีวิต แต่ในประเทศไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการแพร่เชื้อ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้จะมีรายที่ป่วยหนักอย่างแน่นอน อย่างที่พบว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยบางรายที่มีอาการหนักแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังมีอาการน้อยอยู่
เมื่อถามว่าในผู้ที่อาจจะมีเชื้อไวรัสแต่ไม่แสดงอาการ จึงไม่ได้เข้าไปรักษาและยังคงใช้ชีวิตปกติ จะเป็นการเปิดให้เชื้อแพร่กระจายหรือไม่ รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวว่า จะต้องทำความเข้าใจว่าการแพร่เชื้อเกิดจากไอ จาม เพราะหากเชื้ออยู่ในคอจะไม่มีการแพร่ออกมา หากถามว่าคนในสังคมที่มีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการก็ยังคงมี แต่เราไม่มีทางที่จะไปตรวจผู้ที่ไม่มีอาการได้หมด เราจะต้องตรวจผู้ที่ป่วย
เมื่อถามว่ากรณีที่หน้ากากอนามัยอยู่ในช่วงขาดแคลน เช่น ที่ทำเนียบรัฐบาล ทำการจำหน่ายเพียง 30 นาทีก็หมดเกลี้ยง แต่ส่วนในพื้นที่เมืองใหญ่ๆ ที่ เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ ประชาชนมีความกังวลว่าจะเข้าไม่ถึงหน้ากากอนามัย นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ในส่วนของรัฐบาลและ สธ.ได้ประชุมผู้เกี่ยวข้องและทำการตรวจสอบด้านผู้ผลิตและผู้ควบคุม หากมีการใช้อย่างเหมาะสมและไม่กักตุนนั้นกำลังการผลิตมีเพียงพออย่างแน่นอน แต่ในขณะนี้ประชาชนแตกตื่นและกักตุนไว้ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแล้ว เช่น การออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ การลงพื้นที่ตรวจสอบตลอดจนประสานงานกับผู้ผลิตเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเพียงพอ
เชื้อโรคนี้ออกมากับน้ำมูก น้ำลายที่เราไอ จาม นั้นหมายความว่าหากเรามีวัสดุที่เหมาะสมแล้วทำเพื่อหน้ากากแบบผ้าใช้เองก็จะลดการขาดแคลนได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเสี่ยง แต่ในกรณีของผู้ป่วยที่ต้องใช้หน้ากากการแพทย์ในบางจุดก็ยังมีจำหน่าย ต้องซื้อหาหน้ากากตามความเสี่ยงของตัวเอง ไม่ใส่โดยไม่จำเป็นแต่ไม่ได้หมายความว่าประมาท แล้วก็จะต้องล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด พื้นที่เสี่ยงหรือใกล้ชิดอยู่ป่วย นพ.สุวรรณชัย กล่าว
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้องค์การอนามัยโลก(WHO) ระบุว่าหน้ากากอนามัยที่ใช้แบบทางการแพทย์สามารถป้องกันโรคได้ แต่ไม่ดีเท่ากับการล้างมือบ่อยๆ ซึ่งจะป้องกันได้มากกว่าการใส่หน้ากากอนามัย เนื่องจากการใส่หน้ากากอนามัยจะมีประโยชน์อย่างมากกับผู้ป่วยและการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด แต่หากอยู่ในสถานที่กว้างและไม่แออัด เช่น บ้านพัก ก็ไม่ควรใส่ ควรจะเน้นการล้างมือ
เมื่อถามว่าในกรณีที่หลายหน่วยงานลงพื้นที่แจกหน้ากากอนามัยแต่ไม่ได้สวมถุงมือขณะแจก หรือใส่ถุงมือแต่หน้ากากอนามัยไม่ได้อยู่ในหีบห่อ ในส่วนนี้สามารถยืนยันว่าปลอดภัยได้หรือไม่ รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวว่า ในคนทุกคนมีเชื้อไวรัสแต่จะบอกว่ามีเชื้อไวรัสโคโรนา2019 หรือไม่นั้น คงไม่เกี่ยวข้องกัน และผู้ที่แจกก็ไม่ได้จับจุดสำคัญคือด้านในของหน้ากากที่เป็นส่วนสีขาวที่จะต้องสวมแนบกับใบหน้าของผู้ใส่ หากผู้ที่แจกไม่ได้ใส่ถุงมือก็คงไม่เป็นอะไร แต่การใส่ถุงมือก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย เพราะอาจจะใส่ถุงมือแล้วไปจับตามสถานที่ต่างๆ มากตลอดทั้งวันแล้วมาหยิบหน้ากากแจก ทางที่ดีที่สุดคือการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ
แต่ถามว่าจะให้แจกคนหนึ่ง ล้างทีหนึ่งก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าคนใส่ถุงมือรับรองว่าคนเหล่านี้จะไม่ล้างเพราะการล้างคือจะต้องถอดแล้วทิ้ง แล้วล้างมือเมื่อแห้งเสร็จก็ใส่ถุงมือใหม่ ผมคิดว่าแนวทางปฏิบัตินี้ไม่สามารถดำเนินการได้ รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น