หนุนทำประชามติโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ขีดเส้นเฉพาะคนในพื้นที่
รายงานข่าวจากเวทีสานเสวนารอบ 2/1 ยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานไฟฟ้าภาคใต้ ซึ่งจัดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่จังหวัดกระบี่ เปิดเผยว่า นายกิจจา ทองทิพย์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ตำบลปกาสัย อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ตัวแทน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อ.เหนือคลอง ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา กลุ่มเครือข่ายปกป้องสิทธิชุมชนคนกระบี่ ได้ยื่นหนังสือและแถลงการณ์ขอทำประชามติดำเนินการโรงไฟฟ้าถ่านหินและท่าเทียบเรือคลองรั้ว จ.กระบี่ ต่อศาสตราจารย์ ดร.จำลอง โพธิ์บุญ หัวหน้าโครงการศึกษาประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์สำหรับพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้
ทั้งนี้สาระสำคัญของแถลงการณ์ ระบุว่า ต้องการให้มีการแสดงประชามติของคนในพื้นที่อำเภอเหนือคลองเพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของคนในพื้นที่จริงว่ามีความต้องการอย่างไรกับโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งจะถือเป็นข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถรับรู้และยืนยันได้ จะได้ตัดปัญหาการนำข้ออ้างต่างๆมาเป็นเหตุในการประท้วงคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้า
ก่อนหน้ากฟผ.ได้มีการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ตามกรอบของกฏหมายของโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่มาแล้ว และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ก็มีมติให้ดำเนินการก่อสร้างได้ แต่ภายหลังทางรัฐบาลก็มีคำสั่งให้จัดทำอีไอเอใหม่
ทั้งนี้ กฟผ.ได้เริ่มกระบวนการศึกษาใหม่ มีการเปิดรับฟังความเห็นจนเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 28 ม.ค.2561 แต่หลังจากนั้น นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงานในขณะนั้น ได้ไปลงนามเอ็มโอยูกับกลุ่มต่อต้าน โดยให้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์(SEA) เพื่อศึกษาว่าพื้นที่จ.กระบี่และอ.เทพา จ.สงขลา เหมาะสมการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือไม่
อย่างไรก็ตามในทางกฏหมายแล้ว SEA เป็นกระบวนการที่ไม่มีกฏหมายรองรับ ถือเป็นทำลายวิถีปฏิบัติตามหลักกฏหมาย โดยสร้างบรรทัดฐานใหม่ของคนในสังคม ในการใช้วิธีรวมตัวด้วยกลุ่มคนที่ไม่กี่คนและเป็นคนนอกพื้นที่ ทั้ง จ.พัทลุง นครศรีธรรมราช ตรัง สงขลา และ กทม. มาร่วมการเคลื่อนไหวต่อต้านโครงการมาโดยตลอด เป็นการขโมยสิทธิ์ของชุมชนคนกระบี่ มาทำลายโอกาสของคนในชุมชนที่จะมีโอกาสได้รับการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการสร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ที่มา posttoday.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น